“เมืองแห่งความฝัน ไข่มุกอันดามัน”

ไข่มุกอันดามัน สวรรค์เมืองใต้

หาดทรายสีทอง สองวัรสตรี บารมีหลวงพ่อแช่ม

          เมื่อไหร่ที่คุณนึกถึง ไข่มุกแห่งอันดามัน  หรือ สวรรค์แห่งอันดามัน ดินแดนแห่งทะเลทางตอนใต้ของไทย  เชื่อว่าหลายๆคน คงต้องนึกถึง จ.ภูเก็ต ก่อนเป็นอันดับแรก ด้วยความที่ ภูเก็ต เป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยว และ ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเที่ยวเป็นจำนวนมาก และ คนไทยจำนวนไม่น้อยที่เดินทางเข้ามายัง เกาะแห่งนี้ เกาะที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเกาะที่มีขนาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย “ภูเก็ต” ได้ชื่อว่าเป็นไข่มุกแห่งอันดามัน เมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ในด้านความสวยงามของทิวทัศน์ และหาดทราย น้ำทะเลสีฟ้าใส พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทางการท่องเที่ยวครบครัน เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย มีฐานะเป็นจังหวัดหนึ่งในภาคใต้ ตั้งอยู่ทางชายฝั่งทะเลตะวันตกของประเทศไทยในน่านน้ำทะเลอันดามัน มหาสมุทรอินเดีย มีพื้นที่ประมาณ 543 ตารางกิโลเมตร ความยาวสุดของเกาะภูเก็ตวัดจากทิศเหนือถึงทิศใต้ประมาณ 48.7 กิโลเมตร และส่วนกว้างที่สุดวัดจากทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตกประมาณ 21.3 กิโลเมตร ภูเก็ตแบ่งออกเป็น 3 อำเภอ คือ อำเภอเมือง อำเภอถลาง และอำเภอกะทู้

สถานที่-ท่อง-เที่ยว-ภูเก็ต

ในอดีต เนื่องจากภูเก็ตอุดมสมบูรณ์ไปด้วยเร่ดีบุก จึงได้มีการทำเหมืองแร่เป็นอุตสาหกรรมใหญ่อย่างมากมาย รวมทั้งอุตสาหกรรมการผลิตยางรมคึวัน การทำปลาป่น ฯลฯ แต่อุตสาหกรรมที่ทำรายได้ให้แก่ภูเก็ตเป็นอย่างมากขณะนั้นเห็นจะไม่พ้นการท่องเที่ยว ซึ่งในปัจจุบันได้ขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง มีโรงแรมและรีสอร์ทขนาดใหญ่ได้มาตรฐาอยู่เต็มไปหมด ทั้งยังมีบริษัทนำเที่ยวอีกหลายแห่ง เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่หลั่งไหลกันเข้ามาในสัมผัสหมู่เกาะแห่งนี้ จุดเด่นของจังหวัดภูเก็ต คือ หาดทรายสีขาว ทะเลสวย รอบเกาะภูเก็ตหากจะนับกันดูแล้ว ก็จะพบว่ามีหายหาดต่างๆ มากถึง 36 แห่ง ซึ่งมีความงามแตกต่างกันไป แต่หาดที่เหมาะที่จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เหมาะสำหรับไปพักผ่อน เล่นน้ำทะเล ชมธรรมชาติอยู่ประมาน 20 หาด นอกนั้นจะเป็นหาดเล็กๆ บ้าง หรือ หาดที่มีชุมชนอาศัยบ้าง การเดินทางก็สะดวกสบาย เพราะแต่ละหาดมีถนนที่ตัดรอบเกาะ เชื่อมถึงกันทุกหาด ส่วนชายหาดที่ขึ้นชื่อของจังหวัดภูเก็ตคงหนีไม่พ้น หาดป่าตอง หาดแห่งนี้เหมือนกับจะเป็นจุดศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่คึกคักที่สุดของเกาะภูเก็ต ด้วยหาดทรายที่มีความยาวถึง 9 กิโลเมตร เป็นหาดทรายที่ขาวสะอาด น้ำทะเลสีฟ้าใสน่าลงเล่น ที่นี่เป็นหาดที่นักท่องเที่ยวนิยมมานอนอาบแดดกันมากมาย ส่วนในอดีตหาดป่าตองแทบจะไม่มีใครรู้จัก เพราะที่ตั้งของหาดตั้งอยู่ด้านหลังเขา เดินทางลำบากจึงเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเลมาก่อน เดิมชาวบ้านเรียกหาดแห่งนี้ว่า “กรากอตอ” แปลว่าช่องเขากำแพงกั้น ซึ่งก็มีลักษณะนั้นจริงๆ เพราะกั้นระหว่างเมืองกะทู้กับชายหาด หาดกะตะ และ หาดกะรน เป็นหาดที่อยู่ถัดจากหาดป่าตอง เป็นหาดที่มีความสวยงามไม่น้อยหน้าไปกว่าหาดป่าตอง แต่อาจจะแตกต่างกันนิดหน่อยที่ความคึกคักที่ยังไม่มากเท่าแต่ก็มีโรงแรม รีสอร์ท เปิดบริการอยู่มากมาย หาดกะตะจะเป็นหาดทรายขาว มีระยะทางที่ยาว แบ่งออกเป็น 2 ช่วงหาด นั้นก็คือ หาดกะตะน้อย และ หาดกะตะใหญ่ หาดนี้เหมาะสำหรับที่จะเล่นน้ำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นหาดที่มีลักษณะตื้น เล่นน้ำได้ ปลอดภัย ส่วนหาดกะรน เป็นหาดที่มีความกว้างกว่าหาดกะตะ ชายหาดมีลักษณะยาว เหนือชายหาดเป็นเนินทรายสูงๆ ต่ำๆ มีแนวสนทะเล และทิวต้นตาล มีพงผักบุ้งทะเลคั่นอยู่บางส่วน ดูสวยงามไปอีกแบบ หาดกะรนเป็นอีกแห่งหนึ่งที่สามารถลงเล่นน้ำได้ดี มีความปลอดภัยสูง ที่สำคัญคือสวยไม่แพ้หาดไหนๆ แต่บริเวณหาดอาจจะไม่มีต้นไม้ใหญ่ๆ ขึ้นมากนัก อาจจะดูไม่ร่มรื่นบ้าง ด้านทิศใต้ของหาดอยู่ในตำแหน่งใกล้กับเกาะปู ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ กลางทะเล สามารถเช่าเรือออกไปดำน้ำบริเวณรอบๆ เกาะ เพราะมีแนวปะการังติดต่อกันจากชายทะเลไปจนถึงเกาะปู นับได้ว่าเป็นแนวปะการังที่สมบูรณ์มากพอสมควร

นอกจากท่องเที่ยวทางทะเลแล้ว กิจกรรมอีกอย่างหนึ่งที่กำลังเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ คือ “การขี่ช้าง” การขี่ช้างนักท่องเที่ยวชาวยุโรปฮิตมาก ส่วนนักท่องเที่ยวเอเซียก็เรื่มให้ความสนใจ ขี่ช้างเที่ยวป่าพาเดินดง วันละ 8-17 เที่ยว ได้กรุ๊ปทัวร์เดือนละกว่า 1,000 คน สำหรับช้างที่นำมาเพื่อให้บริการนักท่องเที่ยวนั้น ส่วนใหญ่เป็นช้างที่คุ้นเคยกับภูมิประเทศ และอากาศเป็นอย่างดี เพราะเป็นช้างที่ถือกำเนิดจากพื้นที่ภาคใต้จังหวัดใกล้เคียงภูเก็ต เช่น พังงา กระบี่ ตรัง ทางด้านการทำความสะอาด รวมทั้งสิ่งแวดล้อมนั่นเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องสนใจสนใจเป็นกรณีพิเศษ จะไม่ให้เกิดปัญหาในบริเวณพื้นที่ที่ใช้ประกอบการ และไม่ให้ปรากฎต่อสายตาของนักท่องเที่ยวชาวยุโรปเป็นอันขาด เพราะนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก

“เดิมทีเดียว นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เข้าใจว่า การทำกิจกรรมท่องเที่ยวในลักษณะแบบนี้ จะเป็นการทรมานช้าง เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ มาจากประเทศในแถบยุโรป จะต่อต้านการทรมานสัตว์เป็นอย่างมาก แต่หลังจากที่ได้ทำความเข้าใจไปแล้ว เขาก็รับได้ ภายหลังจากทำงานเสร็จ ก็จะนำช้างไปพักผ่อนในพื้นที่